พระราชสิทธาจารย์ วิ.

วัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม)

ข้อมูลปูชนียบุคคล พระราชสิทธาจารย์ ประธานสงฆ์

วัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม)

ชาติภูมิ พระราชสิทธาจารย์เป็นบุตรคนที่ ๕  ในจำนวน ๘ คน  เป็นชาย ๖ คน  หญิง ๒ คน 

ของนายบุญ แน่นอุดร  มีภูมิลำเนาที่อยู่บ้านโนนสูง  ตำบลปาฝา  อำเภอจังหาร  จังหวัดร้อยเอ็ด  และนางศรี  ชินามน  มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านนามน  อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์  เกิดเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙  เดิมชื่อ ทองใบ แน่นอุดร  เมื่อเยาว์วัยมีจิตใจใฝ่ในทางธรรม  รบเร้าบิดามารดาว่าอยากไปอยู่วัดตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ  แต่บิดามารดาเห็นว่ายังเด็กเกินไป  จึงรอไว้ก่อน  จนอายุ ๗  ขวบ  เป็นเวลาที่ต้องเข้าเรียนหนังสือ  จึงได้ไปอยู่วัดพร้อมกับเรียนหนังสือจนจบการศึกษาภาคบังคับ  คือชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔

บรรพชาอุปสมบท  ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙  ท่านได้อุสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนามน  บ้านนามน  อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์  ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโยมมารดา  ชีวิตการเป็นพระภิกษุ  ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรม ตรี  โท  เอก  จากสำนักเรียนวัดสะแคนนามน  กิ่งอำเภอนามน  อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์

ประสบการณ์ที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นคนมากมายหลากหลาย  ทำให้ท่านคิดว่าจะต้องนำความรู้ที่ได้ศึกษาพัฒนาตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่น ท่านเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร  จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูประภัสสรสุทธิคุณในปี พ.ศ. ๒๕๑๕  เป็นพระภาวนาวิสุทธาจารย์  ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และเป็นพระราชสิทธาจารย์ ในปี พ.ศ. 2553  มีตำแหน่งหน้าที่การงานดังนี้

พ.ศ. ๒๕๑๕       เป็นเจ้าอาวาสวัดสุขวนาราม  ตำบลคำบง  อำเภอบ้านผือ  จังหวัดอุดรธานี

พ.ศ. ๒๕๑๕       เป็นเจ้าคณะตำบลคำบง  อำเภอบ้านผือ  จังหวัดอุดรธานี

พ.ศ. ๒๕๑๘       เป็นรองเจ้าคณะอำเภอบ้านผือ

พ.ศ. ๒๕๑๙       เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๒๔       เป็นรองเจ้าคณะอำเภอบ้านผือ  รูปที่ ๑

ในด้านการศึกษาปฏิบัติของท่านนั้น  ท่านแสวงหาและศึกษาอบรมจากพระอริยสงฆ์หลายท่านดังนี้

พ.ศ. ๒๕๐๘       อยู่กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ  และหลวงปู่เทสก์  เทสรังสี

พ.ศ. ๒๕๐๙       อยู่กับหลวงปู่ขาว  อนาลโย, หลวงปู่เพชร

พ.ศ. ๒๕๑๐       อยู่กับหลวงปู่ชา  สุภทฺโท

พ.ศ. ๒๕๑๑       อยู่กับหลวงปู่ฝั้น  อาจาโร (รอบสอง)

พ.ศ. ๒๕๑๒       อยู่กับหลวงปู่สด

พ.ศ. ๒๕๑๓       อยู่กับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล, หลวงปู่หล้า

พ.ศ. ๒๕๑๔       อยู่กับท่านพุทธทาส (รอบสอง)

พ.ศ. ๒๕๑๕       อยู่กับหลวงพ่อปัญญา  วัดชลประทานรังสฤษฏิ์, หลวงปู่อาจ  จังหวัดชลบุรี, หลวงปู่อาจ  วัดมหาธาตุ  และวัดเพลงวิปัสสนา

พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗        ท่านได้อยู่ปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำโพธิสัตว์  จังหวัดสระบุรีหลังจาก-นั้น  ท่านได้ออกธุดงค์ทั่วไทย  และยังไปถึงประเทศใกล้เคียงคือ ลาว  เขมร  พม่า  และมาเลเซีย

พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๓๐        ท่านได้สมาทานเข้าห้องบำเพ็ญภาวนา  ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างอุกฤษฏ์  ในอิริยาบถ ๓ คือ  ยืน  เดิน  นั่ง  ที่วัดไทยทรงธรรม  บ้านคำบง  อำเภอบ้านผือ  จังหวัดอุดรธานี  การปฏิบัติวิปัสสนาในห้องกรรมฐานนี้  จะสลับกับการออกธุดงค์  ดังนี้

อยู่ในห้องกรรมฐาน         ๗  เดือน            ออกธุดงค์  ๕  เดือน

อยู่ในห้องกรรมฐาน         ๙  เดือน                        ออกธุดงค์  ๓  เดือน

อยู่ในห้องกรรมฐาน      ๑๑  เดือน                        ออกธุดงค์  ๑  เดือน

พ.ศ. ๒๕๒๙  บำเพ็ญภาวนาอยู่ที่  อำเภอภูหลวง  จังหวัดเลย

พ.ศ. ๒๕๓๐  บำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ถ้ำผาป่าไร่ (ถ้ำพญานาค)  อำเภอน้ำหนาว  จังหวัดเพชรบูรณ์

เมื่อครบ ๑๒ ปีแล้ว  ท่านจึงออกเผยแผ่ธรรมเป็นเวลา ๑๐ ปี  (๒๕๓๓-๒๕๔๓)  มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม)

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙  ท่านได้ตั้งสัจจะบารมีว่าจะถืออิริยาบถ ๓  คือ  ยืน  เดิน นั่ง  งดอิริยาบถนอนเป็นเวลา ๓๐ ปี  และท่านได้ถือปฏิบัติมาตลอดจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๔  ท่านจำเป็นต้องนอน  ทั้งนี้เพราะอาพาธ  ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ที่โรงพยาบาล  ศรีนครินทร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น  สาเหตุการอาพาธครั้งนี้สันนิษฐานว่าท่านกรำงานปฏิบัติหนักเกินไป

ปี พ.ศ. ๒๕๓๓  ท่านได้ลาออกจากตำแหน่งรองเจ้าคณะอำเภอบ้านผือ  แล้วเริ่มออกทำงานด้านการเผยแผ่พุทธธรรม  โดยนำพระภิกษุสามเณรที่เป็นศิษยานุศิษย์ภายในวัดออกเผยแผ่ปีละ ๕ เดือนเป็นระยะเวลา  ๑๐  ปี  เริ่มจาก พ.ศ. ๒๕๓๓  จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๒)

ปี พ.ศ. ๒๕๔๓  ท่านได้ตั้งสัจจะบารมีว่าจะไม่รับกิจนิมนต์ใด  เพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ เป็นเวลา ๑๓ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๕๕๕  ทั้งนี้  เพื่อจะเป็นการทำกิจในการอบรมและสั่งสอนพระภิกษุสามเณรในวัดและประชาชนทุกหมู่เหล่า  ที่จะเข้ามาอบรมวิปัสสนากรรมฐาน  และฟังพระธรรมเทศนา  ณ วัดนาหลวง  อำเภอบ้านผือ  จังหวัดอุดรธานี  ให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์

การศึกษา  พระราชสิทธาจารย์ ได้เข้ารับการศึกษาครั้งแรกตามระเบียบการศึกษาภาคบังคับ  ประถมศึกษาปีที่ ๔  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔  หลังจากนั้นได้บรรพชาเป็นสามเณร  ได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือใบลานหลักสูตรอักขระ  สันยะโต (มูลกระจายน์)  จำนวน ๗ ผูก  คือ  สัง  วิ  ธา  ปุ  กะ  ยะ  ปะจนสำเร็จ  ทำให้ท่านแตกฉานในด้านอักษรศาสตร์  แม้กระนั้น  ท่านก็มิได้หยุดนิ่ง  ได้ขวนขวายเล่าเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณ  มีความสามารถในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง  มีความขยันหมั่นเพียรอย่างสม่ำเสมอ  ปัจจุบันท่านได้ฟื้นฟูความรู้เรื่องพืชสมุนไพร  โดยให้บรรดาลูกศิษย์คณะญาติโยม  สร้างสวนสมุนไพรขึ้น

ผลงานหนังสือ พระราชสิทธาจารย์ นอกจากจะเผยแผ่ธรรมด้วยมุขปาฐะแล้ว  ยังได้เรียบเรียงคำสอนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้หลายเล่ม  เช่น ธรรมธารา เล่ม ๑-๒  และขันธ์ ๕  คือกองทุกข์  ละขันธ์ ๕  ละกองทุกข์  ในชุดเดียวกัน  พ้นภัยด้วยธรรม  มาตาปิตุธรรม  ธัมโม  วิภาโค  ฯลฯ  เป็นต้นนอกจากนั้น  หนังสือ  และเอกสารคำสอนต่างๆ  ซึ่งเปรียบเสมือนมรดกธรรมของท่าน  ศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมและจัดทำเป็นรูปเล่ม  ดังจะเห็นได้มากขึ้นในปัจจุบัน  รวมทั้งมีการนำสื่อสมัยใหม่มาใช้  เพื่อช่วยเก็บหลักฐาน  สะสมความรู้  และเรียบเรียงให้อยู่ในรูปแบบ  VCD   DVD  และ MP3

ปัจจุบัน   พระราชสิทธาจารย์ยังคงมุ่งมั่นเผยแผ่พุทธธรรมให้กับพุทธศาสนิกชนอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะโครงการแสดงธรรมเสาร์ที่ 2 ของทุกเดือน และได้จัดอบรมสูตรหลักพระมหาวิทยาลัยแห่งชีวิตเพื่อนิพพาน อุดม วิเศษ มงคล ให้กับพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่สนใจ ปัจจุบันได้จัดอบรมสูตรหลัก ระยะเวลา 12 วัน 15 วัน และ 20 วัน